S-Zx webboard
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

เรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอ

Go down

เรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอ Empty เรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอ

เธ•เธฑเน‰เธ‡เธซเธฑเธงเธ‚เน‰เธญ  NiNg 7/5/2008, 23:58

เรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอ

โดยเฉพาะเด็กมัธยมที่กวดวิชากันทั้งช่วงเย็นหลังเลิกเรียน และวันเสาร์ อาทิตย์จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน นอกจากนี้ส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาทำให้เด็กต้องรายงานมากขึ้น ทำไม่ทันเพราะบางทีมีรายงานหลายวิชามาพร้อมๆ กัน พ่อแม่ก็ต้องช่วยลูกทำ บางทีกว่าจะเสร็จห้าทุ่ม เที่ยงคืน ยิ่งเวลาใกล้สอบต้องคอยติวลูก หรือคอยดูแลให้อ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจถามตัวเองว่า ทำไมลูก (รวมถึงตัวเอง) ต้องลำบากขนาดนี้ คำตอบก็คือเพื่อลูกจะได้เรียนเก่ง ได้คะแนนดีๆ เกรดดีๆ เพื่อจะได้สอบเข้าโรงเรียนดีๆ ตามด้วยสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อนาคตลูกจะได้มีงานทำดีๆ ไม่ลำบาก แต่ท่านผู้อ่านเห็นด้วยใช่ไหมครับว่าการที่ลูกเรียนเก่งอย่างเดียวไม่ได้ประกันความสำเร็จในอนาคต เพราะการแข่งขันทุกวันนี้สูงขึ้นเรื่อยๆและความสามารถในการแข่งขันนับวันแต่จะสำคัญมากขึ้น ไม่เพียงแต่ระดับลูกหลานของเรา แต่ถึงขั้นระดับประเทศเลยทีเดียว ดังนั้นการสัมภาษณ์รับสมัครเข้าทำงานในหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะภาคเอกชนนั้นดูความสามารถด้านอื่นๆ นอกเหนือจากวุฒิการศึกษาและปริญญาด้วย เช่นเพราะดูสามารถด้าน ภาษา กีฬา มนุษยสัมพันธ์ ลองมาดูตัวอย่างจริงที่ผมจะเล่าให้ฟัง

ได้งานเพราะความสามารถทางกีฬา
ตัวอย่างแรก คือ การสมัครบริษัทขนส่งสินค้าระดับโลก มีผู้สมัครที่คัดแล้วเหลือ 2 คน ทั้งคู่จบการศึกษาปริญญาตรีจากประเทศไทยและไปศึกษาต่อจนจบปริญญาโทบริหารด้านสื่อสารโทรคมนาคมจากสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างกันคือคนหนึ่งเล่นกีฬากอล์ฟได้ดี ขณะที่อีกคนเล่นไม่ค่อยเป็น ผู้ที่ได้รับเลือกให้ทำงานคือคนที่เล่นกอล์ฟได้ดี เหตุผลมีครับไม่ใช่เพราะผู้บริหารและผู้จัดการชอบเล่นกอล์ฟ แต่เพราะต้องใช้ทักษะทางกีฬากอล์ฟในการติดต่อ สื่อสาร สร้างความคุ้นเคยกับลูกค้าต่างชาติ เช่น คนอเมริกันและญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่นิยมเล่นกอล์ฟ เวลามีการพูดคุยหรือตกลงกันทางธุรกิจอาจทำขณะอยู่ในสนามกอล์ฟ เหมือนนักการเมือง ส.ส. บ้านเราที่มักพูดคุยอนาคตทางการเมืองที่สนามกอล์ฟ นอกจากนี้ยังต้องเล่นกอล์ฟเก่งพอ ที่จะแข่งขันกับลูกค้าได้ แต่ขณะเดียวกันห้ามเล่นชนะลูกค้า (เรื่องจริงนะครับ) เพราะว่าอะไรก็รู้รู้กันอยู่ ดังนั้นความสามารถทางกีฬาอาจทำให้คนหนึ่งมีโอกาสเหนือกว่าอีกคนหนึ่ง

• ต่างกันที่ความสามารถทางภาษา

มีการสมัครงานที่ปูนซีเมนต์ไทยซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ คัดเหลือ 2 คน ต่างก็จบวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมีชื่อในประเทศเหมือนกัน เกรดไม่แตกต่างกันมาก แต่ 2 คนนี้ต่างกันที่คนหนึ่งพูดคุยภาษาจีนแมนดารินได้ ขณะที่อีกคนพูดไม่ได้เลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้บริหารจะเลือกใคร เหตุผลเพราะบริษัทมีความจำเป็นมากขึ้นในอนาคตที่จะต้องติดต่อการค้าประเทศจีนซึ่งมีประชากรถึงกว่า 1,200 ล้านคน อีกทั้งมีประชากรที่ใช้ภาษาจีนแมนดารินได้ อยู่ในประเทศไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ ยังไม่รวมคนจีนโพ้นทะเล ที่ไป ตั้งรกรากใน ต่างประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศในกลุ่มอาเซี่ยน ความสามารถทางภาษาทำให้เหนือกว่าคู่แข่งและเพิ่มศักยภาพให้เด็ก ดังนั้นขณะนี้เราจึงเห็นโรงเรียนนานาชาติหรือโรงเรียนอินเตอร์ ผุดขึ้นเต็มและได้รับความนิยมมาก บาง โรงเรียนสอน 2 ภาษา (อังกฤษและไทย) บางโรงเรียน 3 ภาษา (อังกฤษ ไทย และจีนแมนดาริน)

• ความสามารถในการแก้ไขปัญหา

มีบทสัมภาษณ์ของบริษัทหนึ่งถามผู้เข้ามาสมัครงานว่าคุณมีวิธีจีบผู้หญิงอย่างไร เขาถามเพราะต้องการรู้ไหวพริบ ปฏิภาณ ทักษะและความสามารถในการแก้ไขปัญหารวมถึงความคิดสร้างสรร เพราะการจีบผู้หญิงต้องใช้ความคิดสร้างสรร คือ ทำอย่างไรให้เขาเห็นความจริงใจของเรา ชอบและรักเราในที่สุด

• ทักษะที่ลืมไปอีกด้าน

นั่นคือความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการ (Enterpreneur) อันนี้ ไม่ต้องพูดถึงการสมัครงานเลยครับ เพราะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งคือสร้างงานให้ตัวเอง (และผู้อื่นด้วย) ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศก็ด้วยการสร้างผู้ประกอบการให้มีจำนวนมากๆ เหมือนที่รัฐบาลเรากำลังพยายามส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs. อยู่ในทุกวันนี้ แต่การสร้างลูกให้มีหัวใจผู้ประกอบการนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ถ้ามีโอกาสจะได้มาพูดคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง

• การสมัครงานกับ S.Q.

การสมัครงานยุคปัจจุบันนี้ให้ความสำคัญกับความสามารถทางสติปัญญา (เช่นผลการเรียน) น้อยลง แต่พิจารณาถึงความสามารถทางสังคม (Social quotient , S.Q.) มากขึ้น เช่น การมีมนุษยสัมพันธ์ ยิ้มแย้มแจ่มใส บุคลิกภาพ หรือแม้แต่การสบตา (eye contact) ขณะพูดคุยกับผู้อื่น รวมถึงทักษะด้านอื่นๆ เช่น ความตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อองค์กร ความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง (self-motivated) ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อการทำงานทั้งสิ้น ครั้งต่อๆไปผมจะได้นำเรื่อง E.Q. (Emotional quotient ) และ S.Q. (Social quotient) ซึ่งเป็นเรื่องของปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จมาพูดคุยกับท่านผู้อ่านต่อไป

ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมนะครับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยัดเยียดให้ลูกเรียนทุกอย่าง ให้เก่งทุกทางทั้งด้านการเรียน ดนตรี กีฬา ศิลปะและสังคม อย่างไรเสียทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนาย่อมดีที่สุด ถึงแม้ว่าการส่งเสริมให้ลูกเอาแต่เรียนอย่างเดียวโดยไม่ต้องสนใจความสามารถด้านอื่นๆ อาจไม่เพียงพอแล้วในยุคที่แข่งขันสูงเช่นนี้ แต่ถ้ามากเกินพอดี ก็ไม่ดี เช่นอัดกิจกรรมและหลักสูตรเข้าไปเต็มที่จนเด็กไม่มีเวลาพักผ่อนหรือเวลาว่างๆพอที่จะคิดอะไรเล่นบ้างเลย ดังที่เราอาจเคยได้ยินตารางกิจกรรมของเด็กบางคนที่พ่อแม่จัดไว้จนเต็ม เช่นทุกเย็นจันทร์ถึงศุกร์เรียนพิเศษ เช้าวันเสาร์เรียนภาษาอังกฤษ บ่ายเรียนบัลเล่ต์ เย็นเรียนเทนนิส วันอาทิตย์เช้าต้องเรียนศิลปะ บ่ายเรียนเปียโน เย็นเรียนภาษาจีน ใครจะเก่งได้หมดทุกอย่าง และที่สำคัญถึงจะเก่งหลายอย่างแต่ชีวิตไม่มีความสุข ก็ไม่มีประโยชน์ จริงไหมครับ นอกจากนี้ควรถามลูกบ้างว่าอยากเรียนหรือไม่หรืออยากเรียนอะไร ไม่ใช่ให้เรียนเพราะพ่อแม่อยากให้เรียน หรือเพื่อชดเชยที่พ่อแม่ไม่มีโอกาสได้เรียนในตอนที่พ่อแม่ยังเด็ก หรือตามสมัยนิยม เช่นบังคับให้ลูกเรียนเทนนิสในช่วงที่ภราดรกำลังดังและประสบความสำเร็จ ยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขัน ดังนั้นการเรียนหนังสือเก่งอย่างเดียวอาจไม่พอ วามสามารถด้านอื่นๆและการมีทักษะที่หลากหลาย รวมถึงทักษะด้านสังคมของลูกหลานเราจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในอนาคต

NiNg
นักขุดมือ 1
นักขุดมือ 1

เธˆเธณเธ™เธงเธ™เธ‚เน‰เธญเธ„เธงเธฒเธก : 356
Registration date : 30/04/2008

เธ‚เธถเน‰เธ™เน„เธ›เธ‚เน‰เธฒเธ‡เธšเธ™ Go down

เธ‚เธถเน‰เธ™เน„เธ›เธ‚เน‰เธฒเธ‡เธšเธ™


 
Permissions in this forum:
เธ„เธธเธ“เน„เธกเนˆเธชเธฒเธกเธฒเธฃเธ–เธžเธดเธกเธžเนŒเธ•เธญเธš